วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

วิถีมนุษย์ในศตวรรษที่ ๒๑

เมื่อมนุษย์เข้าสู่กระแสธรรมมากขึ้น บทเพลงแห่งชีวิตอันหลากหลายก็จะดังมากขึ้น และเชื่อมโยงกันมากขึ้น เป็นบทเพลงที่บรรเลงเพื่อฉลองชัยชนะของมนุษย์ในศตวรรษที่ ๒๑ ที่สามารถหลุดพ้นจากอวิชชา คือ  ความหลงในตัวตน ไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั่วกันทั้งโลก เป็นโลกเดียวกันที่เจริญ หรือโลกาภิวัฒน์  ศรีอาริยะ  สหัสวรรษใหม่เป็นยุคที่ธรรมชาติอาจจะตัดสินใจว่า สัตว์ที่เรียกว่า “มนุษย์” ควรจะสูญพันธุ์ หรือไม่ก็มีวิวัฒนาการสูงยิ่งขึ้น
ปัญหาวิกฤตทั้งหลายที่อ่านพบในหนังสือ หนังสือพิมพ์ และวารสารต่างๆ ดูในโทรทัศน์ หรือสัมผัสด้วยชีวิต กาย ใจโดยตรงนั้นมีมากมายและกำลังท้าทายมนุษย์ว่า จะสามารถต้อนรับ เผชิญหน้า และแก้ไขวิกฤตเหล่านั้นได้หรือไม่ เมื่อวิเคราะห์ให้ดี ไม่ว่าโดยอาศัยแนวพุทธศาสนาหรือแนววิทยาศาสตร์จะพบว่าปัญหาวิกฤตทั้งหลายส่วนใหญ่สร้างขึ้นมาโดยฝีมือมนุษย์เอง การท้าทายจึงสรุปได้ว่า มนุษย์พร้อมที่จะรับผิดชอบต่อวิกฤตทั้งหลายที่พวกเรามีส่วนช่วยกันสร้างขึ้นมาหรือไม่ หากไม่ก็สมควรสูญพันธุ์ไป หากรับผิดชอบเป็น ก็มีสิทธิที่จะอยู่ต่อ และเข้าถึงความเป็นมนุษย์ในขั้นที่สูงขึ้นไป
ยุคสมัยนี้ นับเป็นโอกาสอันดีที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ สำหรับส่วนที่เป็นปัญหานั้น  ได้มีการพูดถึงในสื่อต่างๆ มากอยู่แล้ว ในที่นี้จึงขอกล่าวถึงเฉพาะส่วนที่เป็นทรัพยากร และศักยภาพในการแก้ไขปัญหา ดังนี้
๑. แนวความคิดและการพัฒนาสังคมที่ยึดถือเหตุผลเป็นหลัก  ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จนมีการยอมรับกันว่า ลำพังเหตุผลอย่างเดียวแก้ไขปัญหาไม่ได้ เหตุผล หรือที่บางคนสรุปว่า "สมอง" ต้องเชื่อมกับความรู้สึก หัวใจ หรืออาจกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า วิทยาศาสตร์ต้องเชื่อมโยงกับศาสนา นี้เป็นจุดเชื่อมที่กระแสการพัฒนาอันสำคัญของมนุษย์ทั้ง ๒ สาย  คือ  วิทยาศาสตร์กับศาสนาจะกลับมาเป็นภาคีกันอีกครั้ง เพราะว่าในสังคมตะวันตก วิทยาศาสตร์กับศาสนาได้แยกจากกันเป็นเวลาห้าร้อยกว่าปี เมื่อพิจารณาตรงจุดนี้ จะเห็นได้ว่าพุทธศาสนามีศักยภาพที่จะช่วยให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างกัน เนื่องจากเป็นศาสนาที่มีลักษณะที่เป็นวิทยาศาสตร์มากกว่าศาสนาอื่น ๆ
๒. ขบวนการสตรีนิยมได้ชี้แจงให้มนุษย์เริ่มเข้าใจว่า การใช้อำนาจอย่างที่เคยเป็นมาดัง  เช่น  อำนาจรัฐ (ทหาร) อำนาจทุน และอำนาจเทคโนโลยี เป็นการใช้อำนาจที่ทำลาย ไม่สร้างสรรค์ คนโดยส่วนใหญ่ ไม่ว่าหญิงหรือชาย ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งรวบรวมอำนาจแล้วใช้อำนาจนั้นเพื่อผลประโยชน์เฉพาะตัว ย่อมเป็นการใช้อำนาจที่ทำลายผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นสตรี เด็ก ชนกลุ่มน้อย ผู้ที่นับถือศาสนาอื่น หรือแม้แต่สัตว์พืชและธรรมชาติชนิดอื่นๆ ที่มิใช่มนุษย์ วิธีคิดแบบ "อำนาจเป็นใหญ่ในโลก" เป็นวิธีคิดที่เชื่อว่า กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมีสิทธิที่จะหาประโยชน์จากกลุ่มอื่นๆ โดยสถานเดียว แต่ทุกวันนี้เราจะเห็นว่าวิธีคิดแบบนี้ทำลายทั้งธรรมชาติและมนุษย์ ดังนั้น ขบวนการสตรีนิยมจึงเสนอว่าควรจะมีอำนาจหรือการใช้อำนาจอีกแบบหนึ่ง ที่เป็นไปเพื่อส่งเสริมช่วยเหลือผู้อื่น หรือฝ่ายอื่น ในขณะที่การใช้อำนาจแบบแรก ตั้งอยู่บนฐานของความเห็นแก่ตัว อำนาจแบบที่สองกลับอาศัยความรัก (กรุณา) หรือความเป็นเพื่อน (เมตตา) เป็นหลัก ขณะนี้ มนุษยชาติได้ก้าวหน้ามาถึงขั้นที่พอจะเข้าใจประเด็นนี้ได้ และเริ่มปรับเปลี่ยนมาสนใจอำนาจในแบบที่สองซึ่งมีแบบอย่างที่ดีที่สุดก็คือแม่ แม่ที่เสียสละเพื่อลูก ซึ่งอาจหมายรวมถึงพระแม่ธรณีที่ให้กำเนิดสรรพชีวิต และรวมทั้งมนุษย์ด้วย
๓. ในยุคปัจจุบันได้เกิดแนวโน้มทางสังคมการเมืองที่สำคัญกระแสหนึ่ง คือกระแสประชาธิปไตย ซึ่งในอดีตถูกเบี่ยงเบนโดยอำนาจแบบแรก และถึงแม้ว่าในประเทศต่างๆ จะยังคงมีคนบางกลุ่มที่อาศัยระบบประชาธิปไตยเพื่อประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม แต่กระแสประชาธิปไตยก็ได้เริ่มขยายตัวก้าวหน้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้แต่ในประเทศไทยซึ่งเดิมอยู่ใต้ระบอบอำนาจนิยม แต่ในปัจจุบันได้เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายเข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหามากยิ่งขึ้น เมื่อผนวกกับกระแสสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปในสังคมโลกแล้ว นับเป็นพลังอีกทางหนึ่งที่ช่วยให้มนุษยชาติได้ร่วมมือกันเพื่อสร้างสรรค์ การสร้างสรรค์ที่เหมาะสม ยั่งยืน และพอเพียง ต้องอาศัย สติ การรู้สึกตัว ปัญญา การเข้าใจในเนื้อแท้ของชีวิต กรุณา การรักที่ยอมช่วยผู้อื่น และศีลธรรม การดำรงชีวิตที่เป็นปกติ คือ ไม่เบียดเบียนใคร
การสร้างสรรค์อย่างถูกต้องแท้จริงย่อมจะเป็นการแก้ปัญหาอยู่ในตัวเอง วิธีคิดแบบเดิม มักมุ่งไปที่ตัวปัญหา และพยายามหาทางแก้ไขปัญหานั้น แต่ผลที่ได้มากลับเป็นการสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆ พระพุทธเจ้าได้ทรงชี้ให้เห็นว่าการแก้ไขปัญหานั้นต้องแก้ที่สาเหตุ ถ้าเราพบว่าปัญหามีสาเหตุอยู่ที่ใด เราเอาของที่ถูกต้อง  เป็นธรรมชาติกว่า  ดีกว่านำไปแทนที่สาเหตุเหล่านั้น ปัญหาจะเปลี่ยนไปอยู่ในตัว หากไม่สามารถแก้ไขได้โดยสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยก็เป็นการบรรเทาปัญหา

อุดมการณ์แห่งศตวรรษที่  ๒๑ 
การอยู่ร่วมกันด้วยสันติทั้งโลก  มนุษย์ควรจะใช้สติปัญญาเป็นส่วนใหญ่เพื่อทำความเข้าใจปัญหาของระบบการอยู่ร่วมกันในปัจจุบัน  รากเหง้าของปัญหา  และวิธีการสร้างระบบการอยู่ร่วมกันในอนาคต
๑.   ปัญหาของการอยู่ร่วมกันในปัจจุบัน 
เป็นช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวย  และระหว่างประเทศจนกับประเทศรวย  การขาดความเป็นแผ่นของครอบครัว  และชุมชน  ความรุนแรงประเภทต่างๆ รวมทั้งสงคราม  การทำลายสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม  การละเมิดสิทธิของเด็ก  สตรี  คนกลุ่มน้อย  และผู้ด้อยโอกาส  การที่สถาบันทางการเมือง  สถาบันทางราชการ  และทางศาสนาไม่สามารถสนองตอบต่อการแก้ปัญหา  ความเครียด  ความหดหู่  ความรู้สึกหมดหวังในชีวิตและสังคม  ปัญหายาเสพติด  และการฆ่าตัวตาย  ล้วนสะท้อนปัญหาของการที่มนุษยชาติยังไม่สามารถสร้างระบบการอยู่ร่วมกันด้วยสันติ  ทั้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์  และระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ
๒.  รากเหง้าของปัญหาการอยู่ร่วมกัน
สาเหตุของปัญหาที่ไม่สามารถจัดระบบการอยู่ร่วมกันด้วยสันติมี    ประการใหญ่ๆ  คือ
  สัญชาตญาณเผ่าพันธุ์
   ลิทธิปัจเจกนิยมสุดโต่ง  และความเชื่อเรื่องเสรีนิยมผิดๆ
   เงินเข้าแทนที่จิตรวิญญาณในฐานะคุณค่าสูงสุด

สัญชาตญาณเผ่าพันธุ์ 
ขณะที่มีการพูดถึงโลกาภิวัฒน์หรือความเป็นโลกเดียวกัน  นั้นเป็นเพียงทางกายภาพเท่านั้น  มนุษย์ยังคิดแบ่งแยกโดยเอาตน  พวกตน  เผ่าตน  หรือประเทศตนเป็นที่ตั้ง  แล้วเข้าแย่งชิง  ปะทะ  และขัดแย้งกัน  สัญชาตญาณเผ่าพันธุ์นั้นมีมาแต่โบราณ  และยังคงอยู่ในรูปต่างๆ  มนุษย์ที่เจริญควรเห็นความสำคัญของเผ่าอื่นๆ และจัดระบบการอยู่ร่วมกันได้

ลิทธิปัจเจกนิยมสุดโต่ง  และความเชื่อเรื่องเสรีนิยมผิดๆ 
มนุษย์มีทั้งความเป็นตัวของตัวเองและความเป็นส่วนรวมในขณะเดียวกันอนุภาคที่มีทั้งความเป็นอนุภาคและความเป็นคลื่นในขณะเดียวกัน  ความเป็นอนุภาคคือมีตัวตน  จับต้องชั่งตวงได้  ความเป็นคลื่นคือไม่เป็นรูป  จับต้องไม่ได้แต่ไปเชื่อมโยงสัมพันธ์กับสิ่งอื่นได้  สภาพของสรรพสิ่งเป็นทวิลักษณ์  คือมีทั้งลักษณะที่เป็นตัวตน  และมีลักษณะที่เชื่อมโยงสัมพันธ์  มนุษย์ก็ควรเป็นเช่นนั้น  คือ  มีทั้งความเป็นตัวของตัวเองและความเชื่อมโยงสัมพันธ์เป็นส่วนรวม  ลัทธิปัจเจกนิยมสุดโต่งและความเชื่อเรื่องเสรีนิยมผิดๆ  ทำให้เกิดความแตกสลายทางสังคม  และในส่วนเสรีภาพที่แท้จริงควรเป็นปัญญาที่เข้าใจธรรมชาติของสรรพสิ่งตามความเป็นจริง  หลุดพ้นจากความเป็นจริง  หลุดพ้นจากการบีบคั้นของความไม่รู้หรืออวิชา  มีความสุขและมีมิตรภาพต่อสรรสิ่ง  สามารถดำรงอยู่ร่วมกันด้วยสันติ

การที่เงินเข้าแทนที่จิตรวิญญาณในฐานะคุณค่าสูงสุด 
สิ่งที่มีคุณค่าสูงสุดของมนุษย์คือ  ความดีหรือที่เรียกว่าพัฒนาการทางจิตวิญญาณ  ความเป็นมนุษย์อยู่ที่พัฒนาการทางจิตวิญญาณ  พัฒนาการทางจิตวิญญาณให้พลังแก่มนุษย์  แก่องค์กร  และแก่สังคม  เงินมีประโยชน์ในการแลกเปลี่ยน  แต่ในเมื่อความโลภได้ถูกยกระดับจากกิเลิสมาเป็นคุณค่าในอารยะธรรมสมัยใหม่  เงินก็ถูกทำให้เป็นเครื่องมือของความโลภ  เงินเป็นสิ่งที่สมมติที่ถูกสะสมได้โดยไม่มีที่สิ้นสุด  และสถาปนาระบบเงินเป็นอำนาจสูงสุด(ธนาธิปไตย) ที่จะกระทำเพื่อเงิน  โดยเงินและของเงินระบบเงินเติบโตขึ้น  เปลี่ยนสถานะจากการเป็นเครื่องมือแลกเปลี่ยนไปเป็นอำนาจอำนาจที่จะทำลายสิ่งอื่นๆเพื่อการเติบโตของตัวเอง  เงินจำนงนมหึมาที่เคลื่อนไหวอยู่ในโลกกว่าร้อยละ ๙๐ ไม่ได้เป็นไปเพื่อการสร้างเศรษฐกิจ  แต่เพื่อการเก็งกำไรหรือเพื่อการพนันหรือการดูดเงินจากที่ต่างๆ
ในส่วนของครอบครัวถ้าใช้หลักการแข่งขันเสรี  เด็กจะตายหมด  ครอบครัวซึ่งเป็นสถาบันการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ที่สำคัญที่สุด  ไม่ได้ใช้หลักการแข่งขันเสรีแต่ใช้หลักการโอบอุ้มและเกื้อกูลกัน  มนุษย์ทั้งโลก  คือ ครอบครัวเดียวกัน  การแข่งขันเสรีไม่ใช่หลักการของการอยู่ร่วมกัน  แต่ความโอบอุ้มและความเกื้อกูลต่างหากที่ทำให้มนุษย์อยู่ร่วมกันด้วยสันติ
ดังนั้นจึงพอสรุปได้ว่า
ความผิดพลาดอันยิ่งใหญ่ของการเรียนรู้ในปัจจุบัน  คือ  ไม่เรียนรู้ให้รู้ตัวเอง  เรียนแต่สิ่งภายนอกมากมาย  ซึ่งแม้เรียนให้เก่งเท่าไร  แต่ถ้าไม่รู้ตัวเอง  แล้วก็แก้ปัญหาไม่ได้   หรือกลับยิ่งสร้างปัญหามากขึ้น  มนุษย์วิกฤตเพราะเหตุนี้  การเรียนรู้ให้รู้ตัวเองไม่ได้แปลว่า  สิ่งนอกตัวไม่สำคัญ  สังคมที่มีการรวมตัวร่วมคิดร่วมทำในรูปต่างๆเต็มสังคมและมีสันติ เรียกว่า สังคมสันติประชาธรรม  หรือประชาสังคม  พลังแห่งการร่วมกันเป็นกลุ่มก้อนทางสังคม  จะผนึกสังคมไว้ด้วยกันมิให้แตกสลาย  เกิดดุลยภาพ  มีความพอเพียง  มีความยั่งยืน  อันเป็นไปเพื่อความสุขของทุกคน  ถ้าทุกคนอยากมีโลกที่เต็มไปด้วยความรัก  มีครอบครัวที่อบอุ่นปลอดภัยเราก็ต้องสละความเห็นแก่ตัว  แล้วจะพบกับความสุขที่วัดประมาณไม่ได้  เมื่อหมดสิ้นความเห็นแก่ตัวแล้ว  จะเหลือแต่จิตใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความเป็นมนุษย์  ด้วยความรัก  ความกรุณา  เอื้อเฟื้อต่อสรรพสิ่งทั้งหลาย  เฉลียวฉลาดกับเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นเฉพาะหน้า  มีความสุขภายใน  ปราศจากความตรึงเครียด  สุขภาพที่ดีก็ตามมา  และเป็นชีวิตที่เรียกว่าเบิกบาน  แม้ว่าเราจะยังทำให้ถึงที่สุดไม่ได้  แต่หากพวกเราอุตสาหพยายามทำเท่าที่จะทำได้  โลกมนุษย์ก็สามารถขยับตัว  และโอกาสที่จะไม่สูญพันธุ์ก็เพิ่มขึ้น

อ้างอิง
ประเวศ  วะสี. วิถีมนุษย์ในศตวรรษที่ ๒๑ : สู่ภพภูมิใหม่แห่งการพัฒนา. กรุงเทพฯ :
มูลนิธิสดศรีสฤษดิ์วงศ์,  ๒๕๔๕.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น