วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ตลาดอุดมศึกษา: จ่ายครบ – จบแน่

การจัดการศึกษาของไทยมักสะท้อนความเสื่อมมากกว่าความเจริญ  ตลาดอุดมศึกษาที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ ประสบความสำเร็จเพียงประการเดียว คือ การเพิ่มสัดส่วนของผู้ที่เข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษา  แต่การเปลี่ยนทางปริมาณนี้มิได้สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของตลาด  และไม่เป็นผลดีต่อผู้สำเร็จการศึกษา  ความเสื่อมโทรมที่ปรากฏให้เห็นเป็นการสร้างกองทัพบัณฑิตผู้ว่างงาน ซึ่งแอบแฝงในรูปแบบของการทำงานไม่ตรงสาขาที่เล่าเรียนมา  การศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น  และเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระ  ภาคเศรษฐกิจมีความยากลำบากในการจัดหาลูกจ้างที่มีคุณภาพ  หรือไม่ก็ไม่สามารถให้อัตราเงินสูงที่เพียงพอสำหรับผู้สมัครงาน  นักศึกษาจำนวนมากขาดความกระตือรือร้น  ในขณะที่อาจารย์อึดอัดกับคุณภาพของนักศึกษา  นักศึกษาปริญญาตรีมีคุณภาพมากกว่านักศึกษาปริญญาโท  และบางแห่งนักศึกษาปริญญาโทเก่งกว่านักศึกษาปริญญาเอก  ทิศทางที่เป็นห่วงระยะยาว  คือ  ความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจที่อ่อนลงพร้อมๆ กับสังคมเส้นสาย  กำลังส่งเสริมให้แรงงานคุณภาพสูงบางส่วนถูกดึงดูดไปต่างประเทศ  ส่วนแรงงานคุณภาพต่ำแต่มีคุณภาพสูงกลับไม่เป็นที่ต้องการของตลาด  กองทัพผู้ว่างงานนี้อาจต้องอาศัยการว่าจ้างในภาครัฐ  ซึ่งก็มีอัตราตำแหน่งที่จำกัดและมีปัญหาผู้ที่เกษียณอายุยังหาช่องทางให้ได้รับการว่าจ้างต่อ  ดังนั้นจึงหันไปศึกษาต่อหรือไม่ก็ประกอบอาชีพส่วนตัว  ซึ่งในอนาคตจะกลายเป็นภาระสังคม  ถึงแม้ว่ากองทัพผู้มีการศึกษาเหล่านี้  ต้องการที่ไม่ใช้ความรู้  แต่ยากที่จะแข่งขันกับคนงานต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้านที่อดทนกว่าพร้อมรับค่าจ้างที่ต่ำกว่า (เช่นประมาณร้อยละ 40-60 ของแรงงานไทย)  ยิ่งถ้าในอนาคตแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีความสามารถทางภาษาอังกฤษเริ่มที่จะเข้ามาแข่งขันกับคนไทยในตลาดแรงงานฝีมือ  ความกดดันนี้ก็จะยิ่งมีความรุนแรงขยายกว้างมากขึ้น  นั่นคือประเทศไทยกำลังเสี่ยงอย่างมากกับการลงทุนทางการศึกษาที่สูญเปล่าและขาดคุณภาพกำลังคนเหล่านี้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการลงทุนทางการศึกษาแบบหวังน้ำบ่อหน้าได้  เนื่องจากงานระดับล่างไม่อยู่ในเงื่อนไขที่ตนจะแข่งขันกับแรงงานจากประเทศเพื่อนได้  และนี่จะเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ปัจจุบันมีความต้องการทางการศึกษาในระดับอุดมศึกษามากเกินจริง  ซึ่งอาจจะนำไปสู่ปัญญาหาสถานศึกษาล้นเกินในระยะยาว
                ความต้องการทางการศึกษาของกองทัพผู้ว่างงานได้รับการตอบสนองอย่างดีจากการจัดการศึกษาจากภาครัฐ  ด้วยการเปิดให้มีมหาวิทยาลัยจำนวนมากมายถึงร้อยกว่ามหาวิทยาลัย  และมีหลักสูตรมากมายทีด้อยคุณภาพเพื่อทำธุรกิจกับอุปสงค์เทียมของผู้ว่างงานเหล่านี้   การศึกษาประเภท จ่ายครบจบแน่ จึงสะท้อนความตกต่ำของการศึกษาไทยและที่แพร่หลายอย่างกว้างขวาง  อาจเป็นผลมาจากการซื้อเวลาของผู้รับผิดชอบที่มิกล้าตัดสินใจใดๆ ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง  คำถามคือการจัดการศึกษาของรัฐได้แก้ไขปัญหาความด้อยคุณภาพของการศึกษาอย่างไร  ที่ผ่านมาได้มีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นชัดสองส่วนใหญ่ๆ
                ส่วนแรกมีการปรับโครงสร้างองค์องกร  ซึ่งเป็นเรื่องข้าราชการระดับสูงคือผนวกทบวงมหาวิทยาลัยเข้าไว้ที่กระทรวงศึกษาธิการ  และแก้ปัญหาความเทอะทะของกระทรวงศึกษาธิการด้วยการแบ่งโครงสร้างภายในของกระทรวงเป็นแท่งๆ ให้มีจำนวนผู้ใหญ่มากขึ้น  หรือไม่ให้ใครมีอำนาจการตัดสินใจได้  แทนที่จะกระจายอำนาจการบริหารออกไปสู่ระดับล่างกลับกลายเป็นการแบ่งอำนาจในแนวนอน  เฉพาะในระดับบนซึ่งเป็นการรวบรวมอำนาจแบบหนึ่ง
                ส่วนที่สองเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับปัญหาหลักสูตรประเภทที่จ่ายครบจบแน่  รัฐบาลได้แก้ไขปัญหาในเชิงรูปแบบกระบวนการด้วยการออกระเบียบมาควบคุมสถาบันการศึกษาและให้มีระบบมาตรฐานขั้นต่ำคล้ายโรงงงาน  มีการสร้างตัวชี้วัดมากมายและมหาวิทยาลัยต่างๆ ต้องจัดทำให้ได้ตัวเลขเพื่อใช้ในการประเมิน  โดยผู้จัดทำระเบียบอาจหวังว่าความตั้งใจดีของสถาบันการศึกษาจะมากขึ้น  และการทำงานที่ลำบากจะทำให้ความขยันในการจัดทำหลักสูตรเชิงพาณิชย์ลดลง  ทว่าการแก้ไขด้วยวิธีนี้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงด้วยเหตุผลหลายประการ  เช่น
                1.  ประสิทธิภาพการศึกษาลดลง  รัฐมีภาระด้านงบประมาณและกำลังคน  สำหรับหน่วยงานที่กำหนดมาตรฐานในขณะที่สถาบันการศึกษาเอง  มีภาระหน้าที่ที่จะต้องทำงานเอกสารและการประชุมให้หน่วยงานมาตรฐานเหล่านี้ทุกปีๆ ละหลายมาตรฐาน  จำต้องปรับภารกิจมาให้งานเอกสารเพื่อให้ส่วนกลางมีอำนาจและมีงานทำ
                2.  มาตรฐานที่กำหนดเป็นการวัดเพียงเชิงปริมาณที่ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนเชิงคุณภาพ  และเป็นการออกแบให้ใช้กับสถาบันการศึกษาทุกแห่งเหมือนกันหมดไม่มีการแยกแยะหลักสูตรหลักสูตรใหม่เก่า  หลักสูตรนานาชาติกับหลักสูตรภาษาไทย
                3.  หลักสูตรส่วนกลางเป็นเพียงพิธีกรรมขึ้นต้นด้วยที่หวังจะทำให้การศึกษามีมาตรฐาน  แต่ตรงกันข้ามเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับหลักสูตรประเภทหลักสูตรจ่ายครบจบแน่
                ดังนั้นการจัดการศึกษาแบบ  จ่ายครบจบแน่  สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลขาดความเอาใจใส่ในการปฏิรูปการศึกษาให้มีคุณภาพ  ที่เป็นการให้โอกาสที่แท้จริงและถาวรแก่ประชาชน  มหกรรมการประเมินทุกภาคส่วน  ทุกชั้นเรียน  ทุกคนและตลอดปีเป็นเพียงการหลงทางและเป็นเพียงการเกินเลยที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาคุณภาพและการทำธุรกิจกับอุปสงค์เทียมได้  นโยบายเช่นนี้จะไม่ทำให้การอุดมศึกษาของไทยดูดีกว่าวิธีการแม่แบบอย่างอังกฤษซึ่งร่ำรวยกว่า  หากแต่ได้บั่นทอนคุณภาพการศึกษาด้วยเหตุแห่งการจัดการทรัพยากรที่ผิด
วิเคราะห์สาระสำคัญ
                สาระสำคัญที่ได้จากบทความนี้คือ  ทำให้เราเห็นวงจรอุบาทว์ของการศึกษามากขึ้น  ที่กล่าวว่า จ่ายครบจบแน่    เป็นการจัดการศึกษาไร้คุณภาพ  ขาดความเอาใจใส่จากรัฐบาลหรือกระทรวงที่รับผิดชอบ  เป็นเพียงแค่การแข่งขันทางการตลาดของผู้ประกอบธุรกิจทางการศึกษาเท่านั้น  ไม่ให้ความสำต่อองค์ความรู้ที่จะเกิดและการมีงานทำในอนาคต  เอาแค่ใบปริญญาเป็นที่ตั้ง  แต่การจัดการศึกษาล้มเหลว ไม่บรรลุวัตถุประสงค์
                ดังนั้นผู้เขียนเลยคิดว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อสังคมในด้านที่สะท้อนให้เห็นถึงระบบการจัดการศึกษาในประเทศที่จะพัฒนาคนในประเทศของตนไปในทิศทางใด  ถ้ามองการจัดการศึกษาแบบให้ประชากรมีความรู้จริง  และนำไปใช้ได้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ  แต่ถ้าจัดการศึกษาแบบการประกอบธุรกิจ  ไม่มองเรื่องคุณภาพ  มองแค่ปริมาณที่จะได้คนเข้าไปศึกษาเพียงอย่างเดียวแล้ว  ประเทศชาติก็จะเกิดปัญหาการว่างงาน  คนไม่มีงานทำอย่างมากมาย  แต่คนมีใบปริญญามากมายทั้งปริญญาตรี  โทและเอก  เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้อยู่ในกระบวนการจ่ายครบจบแน่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น